
คุณ ! พร้อมหรือยัง.. ที่จะก้าวเข้าสู่ยุค European Green Deal
ยุคของการเปลี่ยนแปลงสินค้าเพื่อป่าสมบูรณ์..
ข้อมูลจาก LIVING PLANET REPORT 2024 ระบุว่าประชากรสัตว์ป่าทั่วโลกลดลงเฉลี่ย 73% ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา จากการสูญเสียพื้นที่ป่าไปกว่า 2,500 ล้านไร่ เพื่อใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม เหมือง ไร่ปาล์มน้ำมัน และพื้นที่ปศุสัตว์

นอกจากนี้ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ได้ระบุเพิ่มเติมอีกว่า ในช่วงปี 2007 – 2016 มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอีกว่า 10% จากการตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มขึ้นและพื้นที่ป่าที่ลดลงเป็นทุนเดิม จึงทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ป่าสามารถดูดซับและกักเก็บได้ ก็ลดลงด้วย
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวจึงนำมาสู่ European Green Deal (EGD) หรือ ข้อตกลงสีเขียวของยุโรป อันเป็นการสนับสนุนข้อตกลงปารีสของสหภาพยุโรปและประเทศต่าง ๆ ในการทำข้อตกลงร่วมกันที่จะรักษาภาวะโลกร้อนให้อยู่ในระดับสูงสุด +1.5°C เพื่อสร้างยุโรปที่สะอาดและบรรลุความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศภายในปี 2050
European Green Deal คืออะไร ?
เนื่องจากรูปแบบเศรษฐกิจและพฤติกรรมการบริโภคในปัจจุบันของเรา ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่โลกสามารถมอบให้ได้ จึงส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ รวมถึงกิจกรรมของมนุษย์ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้นส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตและเศรษฐกิจ
จึงเกิดเป็นความพยายามครั้งสำคัญของ EU ที่ผ่านกฎหมาย EUDR (EU Deforestation Regulation) หรือ กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป เพื่อต่อกรกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการลดผลกระทบจากการทำลายป่าในระดับโลก ซึ่งจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในวันที่ 30 ธันวาคม 2025 สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ และวันที่ 30 มิถุนายน 2026 สำหรับบริษัทขนาดกลางและเล็ก (SMEs)
European Green Deal (EGD) หรือ ข้อตกลงสีเขียวของยุโรป จึงเป็นแผนปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยังยืน เพื่อขับเคลื่อนยุโรปสู่สังคมไร้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกและขึ้นเป็นผู้นำบนเวทีโลกด้านอุตสาหกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีสะอาดต่อไป

European Green Deal สำคัญอย่างไร ?
กฏหมาย #EUDR ครอบคลุม 7 กลุ่มสินค้า คือ โกโก้ กาแฟ ถั่วเหลือง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โค และไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปของสินค้าจำพวก หนัง สินค้าที่ทำจากยาง เช่น ยางรถยนต์ และผลิตภัณฑ์หรือเฟอร์นิเจอร์จากไม้ โดยสินค้าต้องผ่านเงื่อนไข 3 ประการ คือ
✅ ปลอดการบุกรุก – โดยสินค้าต้องไม่มาจากพื้นที่ที่มีการบุกรุกป่า หลังจากวันที่ 31 ธันวาคม 2020
✅ เป็นไปตามกฏหมาย – สินค้าต้องมีกระบวนการผลิตที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและชนพื้นเมือง
✅ ได้รับการตรวจาสอบย้อนกลับ – ต้องมีการตรวจสอบและประเมินสินค้า (Due Diligence) เพื่อพิสูจน์ว่าสินค้าและผลิตภัณฑ์ไม่นำไปสู่การทำลายหรือการเสื่อมโทรมของป่า
โดยแบ่งการประเมินเป็น 5 ส่วน ดังนี้
1. การตรวจสอบแหล่งที่มา – เพื่อให้แน่ใจแหล่งกำเนิดของสินค้าว่าสินค้าผลิตจากพื้นที่ที่ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2020 โดยต้องระบุพิกัดภูมิศาสตร์ของที่ดินที่ใช้เพาะปลูก
2. การเก็บข้อมูล – ธุรกิจต้องเก็บเอกสารที่ยืนยันสถานะที่มาของสินค้าที่ไม่มีการทำลายป่าอย่างน้อย 5 ปี
3. การประเมินความเสี่ยง – ประเมินความเสี่ยงโดยรวม รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน
4. การลดความเสี่ยง – (กรณีพบความเสี่ยง) ดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงลงมาให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เช่น สนับสนุนโครงการปลูกป่าใหม่ หากพบการละเมิดกฎระเบียบ บริษัทต้องถอนสินค้าออกจากการค้า หรือกำจัดสินค้าตามกฎหมายการจัดการขยะของสหภาพยุโรป
5. ความโปร่งใสและการรายงาน – บริษัทขนาดใหญ่ต้องรายงานการปฏิบัติตามกฎระเบียบนี้ต่อสาธารณะทุกปี
European Green Deal มีผลต่อไทยอย่างไร ?
ผลกระทบในเชิงบวกและเชิงลบต่อประเทศไทย ในการส่งออกสินค้าไทยไม่ว่าจะเป็นยางพารา ผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์จากปาล์มและกาแฟ ไปยังตลาด EU ซึ่งผลกระทบเชิงบวก คือเราจะมีโอกาสทางการค้าเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันประเทศก็จะมีความพร้อมในการตรวจสอบและยืนยันที่มาของสินค้า ส่งเสริมการรักษาและเพิ่มพื้นที่ป่า และเป็นการยกระดับการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน แต่ก็อาจจะส่งผลกระทบเชิงลบ ได้คือ เรื่องต้นทุนที่อาจเพิ่มสูงขึ้นในการตรวจสอบและประเมิน เพื่อรักษามาตรฐานให้อยู่ในเกณฑ์กำหนดของ EUDR มิเช่นนั้น เราอาจเสี่ยงที่จะตกเป็น “ประเทศกลุ่มเสี่ยงสูง” ซึ่งจะทำให้กำลังซื้อจากตลาด EU ลดลง
ซึ่งปัจจุบันบ้านเราได้มีการเตรียมแผนการตามเงื่อนไขของกฎหมาย EUDR ไว้แล้วในรูปแบบของ ระบบลงทะเบียนแหล่งปลูกไม้ ผ่านแอปพลิเคชันอี-ทรี (e-TREE) ของ กรมป่าไม้ และระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ของ การยางแห่งประเทศไทยRAOT เพื่อยืนยันข้อมูลสินค้าว่าไม่ได้มาจากการบุกรุกพื้นที่ป่า และเตรียมความพร้อมในส่วนของการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ระบุรายละเอียดพื้นที่ปลูกอย่างชัดเจน เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรไทยได้รับการรับรองมาตรฐานสากลในตลาดทั่วโลกอย่างยั่งยืน

เห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงก้าวสำคัญของ EU ในการกำหนดข้อตกลงสีเขียว เพื่อลดผลกระทบจากการทำลายป่าในระดับโลก จะเป็นตัวอย่างให้หลาย ๆ ประเทศออกกฎหมายในลักษณะเดียวกันเพื่อปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ร่วมฟื้นฟูธรรมชาติ ผลักดันอุตสาหกรรมสะอาดเพื่อมลพิษเป็นศูนย์ ก้าวเข้าสู่ความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน
อ้างอิง
www.consilium.europa.eu/en/policies/green-deal
www.bbc.com/thai/articles/cjr3p3dn15ro
livingplanet.panda.org/en-GB
www.moc.go.th/th/gallery/article/detail/id/5/iid/394