วันอาทิตย์, 9 พฤศจิกายน 2568

เปิดประเด็นสำคัญจากรายงานสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาของประเทศไทย (The Thailand Country Climate and Development Report (CCDR)) โดย World Bank

The Thailand Country Climate and Development Report (CCDR) ถือเป็นรายงานฉบับสำคัญ ที่จัดทำโดย World Bank หรือธนาคารโลก แก่ทุกประเทศสมาชิก รวมถึงประเทศไทย ในประเด็นการดำเนินการปรับตัวทางเศรษฐกิจและสังคม ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป้าหมายด้านความยั่งยืนของโลก โดยรายงานได้นำเสนอทั้งบทวิเคราะห์และแนวทางเชิงกลยุทธ์ เพื่อการปรับใช้ของทั้งเหล่าผู้วางนโยบายและประชาชนทั่วไป

ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.worldbank.org/

ทั้งนี้การวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับประเทศไทยกับความสามารถในการเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในรายงาน The Thailand Country Climate and Development Report (CCDR) ฉบับนี้ มี 9 ประเด็นสำคัญด้วยกัน ได้แก่

ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.worldbank.org/

1. การพัฒนาและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ต้องดำเนินไปพร้อม ๆ กัน

รายงานโดยธนาคารโลกระบุว่า หากประเทศไทยต้องการบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูง จำเป็นต้องมีการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 5% ต่อปี โดยเป้าหมายดังกล่าวอาจไม่บรรลุ หากไม่มีการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะมีส่วนต่อการจำกัดความเสียหายจากภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม น้ำแล้ง การกัดเซาะชายฝั่ง และปัญหาขาดแคลนน้ำ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อันจะมีผลต่อการเพิ่มความได้เปรียบด้านการแข่งขันของประเทศในอนาคต

ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.worldbank.org/

2. หากไม่มีการปรับตัว GDP ของไทยอาจหายไปถึง 7-14%

หากไม่มีมาตรการการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจของไทยจะได้รับผลกระทบมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการขาดแคลนน้ำ ที่อาจส่งผลเชิงลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจถึง 7-14% หรือคิดเป็นมูลค่าถึง 1.3-2.6 ล้านล้านบาท

ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.worldbank.org/

3. จำเป็นต้องลงทุนและร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง และการกัดเซาะชายฝั่ง

การลงทุนเพื่อเสริมโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับภัยพิบัติ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานหลาย ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยบริเวณหลักที่ควรลงทุนเพื่อแก้ปัญหาคือ บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ป้องกันปัญหาน้ำท่วม เนื่องจากเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักของประเทศ รองลงมาคือบริเวณพื้นที่ EEC ที่มักจะมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำ โดยสามารถลงทุนร่วมกับภาคเอกชนได้ และกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการประมง จากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่เพิ่มขึ้น หากมีการเสริมโครงสร้างพื้นฐานให้แข็งแรงขึ้น อาจจะลดความสูญเสียได้ถึง 2-5%

ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.worldbank.org/

4. อากาศร้อน ส่งผลกระทบต่อแรงงานและสุขภาพ

จากสภาพอากาศที่ร้อนจัด และแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของดัชนีความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นในทุกปี จะลดทอนประสิทธิภาพการทำงานของแรงงานลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแรงงานภาคเกษตร และภาคบริการ ในเขตกรุงเทพมหานคร หากไม่มีมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบด้านความร้อน เช่น พื้นที่สีเขียวที่เพียงพอ ก็จะกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและแรงงานของประเทศ

ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.worldbank.org/

5. จำเป็นต้องมีระบบคุ้มครองทางสังคมที่ดี เพื่อช่วยเหลือประชากรกลุ่มเปราะบางหลังเผชิญภัยพิบัติ

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้ภัยพิบัติทางธรรมชาติทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรก ๆ ถือเป็นกลุ่มเปราะบาง ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องมีมาตรการรองรับที่มีคุณภาพและทันท่วงที โดยควรนำนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาใช้ เพื่อเชื่อมโยงระบบ และลดความซ้ำซ้อนในการเข้าไปดูแลและสนับสนุนกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ

ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.worldbank.org/

6. เป้าหมาย Net Zero 2065 จะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ ระบบสุขภาพ และความมั่นคงทางพลังงาน

การปรับโครงสร้างเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลของภาคพลังงานของไทย คือกุญแจสำคัญ ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานในอนาคต ยกระดับอุตสาหกรรมสีเขียวของประเทศ อีกทั้งเสริมความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.worldbank.org/

7. การกำหนดราคาคาร์บอนมีความสำคัญ

มากไปกว่าการกำหนดราคาคาร์บอนผ่านภาษี ที่นับเป็นเครื่องมือที่สำคัญแล้ว ประเทศไทยยังจำเป็นต้องดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการลงทุนด้วย โดยเฉพาะในภาคพลังงานและการเกษตร เพื่อลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.worldbank.org/

8. ไทยมีศักยภาพสูงด้าน Green Manufacturing และยานยนต์ไฟฟ้า

ประเทศไทยมีศักยภาพในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ และยานยนต์ไฟฟ้า หากไทยสามารถขยายการส่งออกเพิ่มได้ ก็จะช่วยเพิ่ม GDP ของประเทศให้ขยับขึ้นได้อีกประมาณ 2-3% ภายในปี 2030

ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.worldbank.org/

9. การลงทุนด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นได้ ด้วยการกำหนดราคาคาร์บอน การปฏิรูปรายได้ของรัฐ และการดึงดูดเงินลงทุนจากเอกชน

รายงานระบุว่า ในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ประเทศไทยจำเป็นจะต้องใช้เงินลงทุนที่สูงถึง 7-10 ล้านล้านบาท โดยศักยภาพดังกล่าวมีความเป็นไปได้ ถ้ามีการกำหนดราคาคาร์บอนอย่างเห็นผลจริง ภาครัฐมีการปรับโครงสร้างรายได้อย่างมีนัยยะสำคัญต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และที่สำคัญคือการได้รับเงินทุนสนับสนุน และนวัตกรรมจากภาคเอกชน มาช่วยเสริมการขับเคลื่อน

รายงานของธนาคารโลกสะท้อนความหวังของประเทศไทยบนเส้นทางการเติบโตสีเขียว ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการแข่งขันในเวทีโลก โดยไม่ใช่เพียงผู้นำประเทศหรือเจ้าหน้าที่ในภาคนโยบายเท่านั้นที่มีบทบาทสำคัญต่อเป้าหมายด้านความยั่งยืนของไทย แต่คือประชาชนทุกชีวิต ที่จะต้องร่วมลงมือทำ ให้เรื่องของการเปลี่ยนผ่านสู่วิถีแห่งคาร์บอนเป็นศูนย์ เป็นเรื่องของเราทุกคนจริง ๆ

สามารถอ่านรายงานฉบับเต็ม ได้ที่ 👉 https://documents1.worldbank.org/curated/en/099063025043513963/pdf/P507208-2e39fbbd-4d16-4660-a7eb-9c99c88864f0.pdf

ขอบคุณข้อมูลจาก:
https://www.facebook.com/WorldBankThailand
https://www.worldbank.org/th/country/thailand/publication/th-ccdr
https://youtu.be/TYGdkAALF3M?si=xPhkgitveKl1RJoU